หน่วยที่ 5

อุปกรณ์และการติดตั้งระบบเครือข่าย

อุปกรณ์เครือข่าย

                อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นระบบเครือข่าย มีหลายชนิด ดังนี้

                         1.  การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card)

        
                                การ์ดเชื่อมต่อเครือข่ายหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า การ์ดแลน (LAN Card) หรือใช้ตัวย่อว่า NIC (Network Interface Card) มีลักษณะเป็นแผ่นการ์ดเสียบอยู่บนแผ่นวงจรหลักของเครื่องโดยทำหน้าที่แปลงสัญญาณข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณที่ใช้ติดต่อกันในเครือข่าย การ์ดเครือข่ายที่ใช้กันส่วนใหญ่จะเป็นแบบ PCI ซึ่งจะเสียบกับช่องเสียบแบบ PCI บนแผ่นเมนบอร์ด

                    การ์ดเชื่อมต่อเครือข่ายที่ใช้กันทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นการ์ดที่สามารถใช้ทั้งในระบบอีเธอร์เน็ต (Ethernet Card) ในมาตรฐาน 10 BASE T ซึ่งใช้ความเร็ว 10 Mbps และระบบอีเธอร์เน็ตความเร็วสูง (Fast Ethernet Card) ในมาตรฐาน 100 BASE T หรือ มาตรฐาน IEEE 802.3d ซึ่งรองรับความเร็ว 100 Mbps จึงเรียกกันสั้นๆ ว่า การ์ด LAN 10/100 ซึ่งช่องต่อสายเป็นช่องที่ใช้กับหัวต่อ RJ-45 กรณีการ์ดรุ่นเก่าส่วนใหญ่จะเป็นช่องต่อสำหรับหัวต่อแบบ BNCซึ่งใช้กับมาตรฐาน 10 BASE 2 ปัจจุบันยังมีการผลิตการ์ดเครือข่ายแบบกิกะบิต (Gigabit LAN Card) และแบบไร้สาย(Wireless LAN Card) ออกมาจำหน่ายในท้องตลาด นอกจากนี้แผ่นวงจรหลักของเครื่องบางแผ่นจะผนวกวงจรเชื่อมต่อเครือข่ายไว้ด้วย (LAN Onboard) และมีช่องต่อทางด้านหลังของแผ่นจึงสามารถใช้ได้ทันทีโยไม่ต้องซื้อการ์ดเพิ่มเติม

                             การ์ดเชื่อมต่อเครือข่ายแต่ละแผ่นจะมีการกำหนดหมายเลขเฉพาะตัวจากโรงงานผู้ผลิต โดยจะมีค่าไม่ซ้ำกันเรียกว่า MAC Address ซึ่งย่อมาจาก Media Access Control Address

                        2. รีพีตเตอร์ (Repeater)

                                            เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ขยายสัญญาณเพื่อเพิ่มระยะทางของการเชื่อมต่อ ปกติรีพีตเตอร์จะมีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ มีช่องต่อสัญญาณเพียง  2 ช่อง ข้อจำกัดของรีพีตเตอร์คือ จะรับสัญญาณข้อมูลเข้ามาทำการขยายแล้วส่งออกไป ซึ่งถ้าข้อมูลที่รับเข้ามามีสัญญาณรบกวนผสมอยู่ด้วย รีพีตเตอร์จะขยายสัญญาณรบกวนออกไปพร้อมๆ กับสัญญาณข้อมูล จนอาจทำให้ประสิทธิภาพของเครือข่ายลดลง

                                    3.  แชร์ ฮับ (Share Hub)

               

        
                                    แชร์ฮับหรือเรียกสั้นๆ ว่า ฮับ (Hub) จะทำงานคล้ายกับรีพีตเตอร์ที่มีหลายสัญญาณ โดยจะรับข้อมูลเข้ามาแล้วแพร่กระจายหรือแจกสัญญาณ (share) ไปให้กับช่องต่อทุกช่อง ส่วนใหญ่จะใช้กับการเชื่อมต่อเครือข่ายในโครงสร้างแบบดาว (Star Topology)

                                   ลักษณะของฮับจะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม มีขั้วต่อสำหรับหัวต่อแบบ RJ-45 เรียกว่า พอร์ต (Port)จำนวน ช่อง, ช่อง, 16 ช่อง หรือ 24 ช่อง และอาจมีช่องต่อพิเศษสำหรับต่อเชื่อมระหว่างฮับ เรียกว่า ช่องต่อUpLink (UpLink Port) โดยที่ขั้วต่อบนตัวฮับแต่ละช่อง จะมีหลอดไฟแสดงการทำงานโดยจะมี ดวงคือ หลอดไฟLink แสดลสภาวะการเชื่อมต่อสัญญาณ และหลอดไฟ Active จะแสดงในสภาวะรับ-ส่งสัญญาณ จุดอ่อนของฮับคือ จะมีเส้นทางข้อมูลภายใน เพียงช่องทางเดียว ดังนั้นการเชื่อมต่อจะกระทำได้เพียงชุดเดียว จึงส่ง-รับข้อมูลได้ช้า เพราะต้องรอให้การเชื่อมต่อสัญญาณในชุดเดิมเสร็จสิ้นเสียก่อน จึงจะทำการรับ-ส่งในชุดต่อไปได้ เช่น ในขณะที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ กำลังเชื่อมต่อกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ จะ ไม่สามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้ ต้องรอให้การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ กับ คอมพิวเตอร์ สิ้นสุดเสียก่อน

                                    4.  สวิตช์ ฮับ (Switch Hub)

                                    สวิตช์ฮับ หรือเรียกสั้นๆ ว่า สวิตช์ (Swich) ลักษณะภายนอกของสวิตช์ และ ฮับ แทบจะไม่มีความแตกต่างกัน แต่การทำงานภายในจะแตกต่างกัน โดยวงจรภายในของสวิตช์สามารถสร้างเส้นทางเสมือนในการเชื่อมต่อระหว่างช่องต่อได้หลายเส้นทาง จึงทำให้เชื่อมต่อกันได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้การเชื่อมต่อชุดเดิมสิ้นสุดก่อน เช่น ในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์ กำลังเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ จะสามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้โดยสวิตช์จะมีการเรียนรู้และจดจำตำแหน่งของ MAC Address ในช่องต่อแต่ละช่อง จึงทำให้สามารถติดต่อกันได้รวดเร็วกว่าเดิม                                
                        5.  บริดจ์ (Bridge)
        
                            เป็นอุปกรณ์เครือข่ายในระบบเก่าที่ใช้ร่วมกับแชร์ฮับ เพื่อแยกกลุ่มการทำงาน (Collision Domain) ออกจากกันคล้ายสะพานที่เชื่อมต่อระหว่าง เครือข่ายย่อยเพื่อไม่ให้สัญญาณรบกวนกัน ส่วนใหญ่บริดจ์จะมีช่องต่อเพียง ช่อง และมีความสามารถในการจดจำค่า MAC Address ของเครือข่ายที่เชื่อมต่อได้ แต่ปัจจุบันที่แทนที่ด้วยสวิตช์ (Switch) ซึ่งเสมือนเป็นบริดจ์ที่มีช่องต่อหลายช่อง (Multi-Port Bridge)

                                        6.  เราท์เตอร์ (Router)

        

        
                                                เราท์เตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายเช่นเดียวกับบริดจ์ แต่มีความสามารถในการจดจำเส้นทางได้ ทำให้การส่งสัญญาณระหว่างเครือข่ายต่อเครือข่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราท์เตอร์จะทำการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดการส่งผ่านข้อมูลโดยพิจารณาจาก ระยะทางในการส่ง รวมไปถึงความคับคั่งของข้อมูลในเส้นทางนั้น เราท์เตอร์จะทำงานโดยใช้หมายเลข IP แทนการใช้ MAC Address แบบอุปกรณ์เครือข่ายอื่นๆ จึงทำให้ส่งผ่านได้รวดเร็วกว่า เพราะทำงานในชั้นที่ ของ OSI Model คือ ชั้น Network Layer

                                                  7.  โมเด็ม (Modem)

        

โมเด็มแบบภายนอก

โมเด็มแบบภายใน

                                                เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สื่อสารข้อมูลในระยะไกลโดยผ่านระบบโทรศัพท์ โดยจะมีทั้งแบบเป็นกล่องติดตั้งภายนอก (External Modem) และแบบเป็นแผ่นการ์ดติดตั้งภายในเครื่อง (Internal Modem Card) โดยโมเด็มภายนอกจะมีทั้งแบบติดตั้งผ่านช่องอนุกรม และแบบติดตั้งกับช่องต่อสัญญาณแบบ USB ข้อดีของโมเด็มภายนอกคือ ติดตั้งเคลื่อนย้ายได้สะดวก และมีไฟสัญญาณแสดงขณะทำงาน การเลือกซื้อจะต้องพิจารณาถึงระบบโทรศัพท์ที่จะเชื่อมต่อด้วย คือจะมีทั้งแบบโมเด็มปกติ โมเด็ม ISDN และโมเด็ม ADSL นอกจากนี้ในระบบต่อเชื่อมโดยตรง ก็จะมีโมเด็มแบบลีดไลน์ (Lease Line Modem) ที่เชื่อมต่อสัญญาณโดยตรงจากชุมสายการสื่อสาร มายังเราท์เตอร์ ซึ่งจะใช้ช่องต่อพิเศษ เช่น ช่องต่อ E35 เป็นตัวส่งผ่านข้อมูล

 

 

 

 

 

hit counter